วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ชนิดของการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์

การเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์
1. งานทางด้านเอกสาร รายงาน หรืองานสำนักงานต่าง ๆ งานทางด้านนี้โปรแกรมจะใช้งานส่วนใหญ่ในเครื่องจะเป็นโปรแกรม Microsoft Office และชุดโปรแกรมสำเร็จรูป ต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานเฉพาะอย่างตามแต่ละบริษัทนั้น ๆ เป็นต้น อาจพิจารณาคุณสมบัติตามความเหมาะสม ได้ดังนี้
CPU : ใช้ Sempron, Athlon XP หรือ Celeron ll ก็ได้ ตั้งแต่ความเร็ว 1 GHz ขึ้นไป
RAM : DDR-SDRAM ขนาด 128 MB ขึ้นไป หรือ 256 MB ถ้าเป็น Windows XP
Mainboard : ใช้เมนบอร์ดอะไรก็ได้ แต่เน้นการรับประกันและอุปกรณ์ On Board เช่น การ์ดจอ การ์ดเสียง โมเด็ม และการ์ดแลน ให้ติดมา
บนเมนบอร์ดด้วย เพื่อประหยัดค่าอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น
Hard Disk : ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ ขนาด 40 GB ขึ้นไป
จอภาพแบบ CRT/LCD ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ ขนาด 17 นิ้ว แต่ให้เน้นการรับประกัน
Printer : ใช้แบบ Inkjet ยี่ห้ออะไรก็ได้ แต่ให้เน้นการรับประกันและราคาหมึกพิมพ์ที่ถูก
2. งานทางด้านกราฟิก ออกแบบสิ่งพิมพ์ และสื่อโฆษณาต่าง ๆ 
งานทางด้านนี้โปรแกรมที่ใช้งานส่วนใหญ่ในเครื่องมักจะเป็นโปรแกรมที่ต้องการทรัพยากรของเครื่องสูง เช่น โปรแกรม Photoshop, Illustrator, CoreIDRAW, AutoCAD เป็นต้น ดังนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์จึงควรต้องมีคุณสมบัติที่สูงตามไปด้วย ดังนี้
CPU : ใช้ Athlon 64,Athlon XP หรือ Pentium 4 ก็ได้ ตั้งแต่ความเร็ว 1.5 GHz ขึ้นไป
RAM : DDR-SDRAM ขนาด 256 MB ขึ้นไป
Mainboard : ใช้เมนบอร์ดอะไรก็ได้ แต่เน้นการรับประกันและอุปกรณ์ On Board เช่น การ์ดจอ การ์ดเสียง โมเด็ม และการ์ดแลน ให้ติดมบนเมนบอร์ดด้วย เพื่อประหยัดค่าอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น
Hard Disk : ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ ขนาด 40 GB ขึ้นไป
VGA Card : หรือการ์ดจอ ที่ใช้ เช่น Geforce 2 MX 400 ขึ้นไป Geforce 4 MX440 ขึ้นไป และ Matrox G450 ขึ้นไป เป็นต้น ที่มีหน่วยความจำบนตัวการ์ดตั้งแต่ 64 ขึ้นไป
จอภาพแบบ CRT/LCD ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ ขนาด 17 นิ้ว แต่ให้เน้นการรับประกัน
DVD-ROM : ความเร็ว 16x ขึ้นไป
CD-RW : มีคุณสมบัติเขียน/เขียนซ้ำ/อ่าน ที่ความเร็ว 24x10x40xขึ้นไป
 
3. เล่นเกมคอมพิวเตอร์และบันเทิงเป็นหลัก
ัจจุบันเกมใหม่ ๆ ที่ออกมาล้วนแล้วแต่มีความต้องการทรัพยากรของเครื่องสูง ๆ ทั้งสิ้น ตั้งแต่ CPU RAM และที่สำคัญที่สุดคือ การ์ดจอนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ลงทุนสูง เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับรองรับเกมใหม่ ๆ ได้
CPU : ใช้ Athlon 64,Athlon XP หรือ Pentium 4 ก็ได้ ตั้งแต่ความเร็ว 2 GHz ขึ้นไป
RAM : DDR-SDRAM ขนาด 256 MB ขึ้นไป
Mainboard : ใช้เมนบอร์ดอะไรก็ได้ แต่เน้นการรับประกันและอุปกรณ์ On Board เช่น การ์ดจอ การ์ดเสียง โมเด็ม และการ์ดแลน ให้ติดมบนเมนบอร์ดด้วย เพื่อประหยัดค่าอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น
Hard Disk : ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ ขนาด 40 GB ขึ้นไป
VGA Card : หรือการ์ดจอ ที่ใช้ เช่น Geforce 4 Ti4200 ขึ้นไป Geforce FX5200 ขึ้นไป และ ATi Radeon 9000 ขึ้นไป เป็นต้น ที่มีหน่วยความจำบนตัวการ์ดตั้งแต่128 ขึ้นไป
Sound Card : หรือการ์ดเสียง ใช้เป็น SoundBlaster Live DE5.1 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า
ลำโพง : ใช้เป็นลำโพงแบบ 2.1 หรือ 5.1 Channel ก็ได้ 
จอภาพแบบ CRT/LCD ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ ขนาด 17 นิ้ว แต่ให้เน้นการรับประกัน
หลักการเลือกซื้อ CPU สำหรับคอมพิวเตอร์
การเลือก CPU สำหรับคอมพิวเตอร์ นี้ควรจะเป็นสิ่งแรก ที่ต้องนึกถึงก่อนอย่างอื่น ให้มองภาพให้ออกก่อนว่า CPU ที่มีใช้งานอยู่ในตลาด ปัจจุบันนี้มีรุ่นไหน ความเร็วเท่าไรกันบ้าง อย่าลืมว่า ยิ่ง CPU ที่มีความเร็วสูง ๆ ราคาก็จะยิ่งแพงตามไปด้วย หากคุณเลือกซื้อ CPU ที่
ราคาแพง ๆ เมื่อใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง CPU ที่คุณเคยภูมิใจนักหนา อาจจะมีราคาตกลงมา เหลือแค่หลักพันต้น ๆ ก็ได้ ดังนั้นควร
เลือกซื้อ CPU ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณเองดีกว่า หากต้องการใช้งาน คอมพิวเตอร์ แบบธรรมดา ใช้พิมพ์เอกสารต่าง ๆ
เล่นอินเทอร์เน็ต ก็เลือก CPU ที่ราคาถูก ๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่หากใครต้องการเน้นไปที่ การใช้งานแบบหนัก ๆ ก็คงจะต้องเลือก CPU ที่มีความเร็วและประสิทธิภาพสูงขึ้นไป อีกสักหน่อย อย่าลืมว่า ควรเลือกอุปกรณ์สำหรับเผื่อการ Upgrade ในอนาคตด้วยการแบ่ง
ชนิดของ CPU ขอแบ่งออกตามการออกแบบ และชนิดของเมนบอร์ดที่ใช้งานดังน
ี้

  • Intel Pentium 100-166 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 7 รุ่นแรก ๆ Intel Pentium MMX 166-233 MHz ใช้กับเมนบอร์ด
    แบบ Socket 7 ที่ Support MMX AMD K6-II 266-366 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 7 ทำงานที่ FSB 66 MHz AMD
    K6-II 350-550 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Super Socket 7 ทำงานที่ FSB 100 MHz AMD K6-III 400-450 MHz ใช้กับเมนบอร์ด
    แบบ Super Socket 7 ทำงานที่ FSB 100 MHz Intel Pentium II 233-333 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Slot 1 ทำงานที่ FSB
    66 MHz Intel Pentium II 350-450 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Slot 1 ทำงานที่ FSB 100 MHz Intel Pentium III 450-600 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Slot 1 ทำงานที่ FSB 100 MHz Intel Pentium III Coppermine 500 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 370 FC-PGA Intel Celeron 266-533 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 370 ทำงานที่ FSB 66 MHz Intel Celeron II 566 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 370 ทำงานที่ FSB 66 MHz AMD Athlon 500 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Slot A
    ทำงานที่ FSB 200 MHz (DDR)
  • AMD Duron 550 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket A ทำงานที่ FSB 200 MHz (DDR)  
อีกปัจจัยหนึ่งของการเลือก CPU คือขนาดของ Cache โดยที่ Cache ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ L1 และ L2 Cache (หรือ Cache
Level 1 กับ Level 2) จะอยู่ในแผ่นชิปเดียวกับ CPU ทำงานที่ความเร็วเท่ากับ CPU แบบ Full Speed หรือทำงานที่ความเร็วครึ่งหนึ่งของ CPU หรือเรียกว่า Half Speed ดังนั้น ต้องหาข้อมูลของ CPU รุ่นต่าง ๆ กันก่อนว่ารุ่นไหนมี L1 และ L2 ขนาดเท่าไร ทำงานที่ความเร็วเท่าไร ยิ่งจำนวน
ของ Cache มีมากเท่าไร ก็จะได้ประสิทธิภาพของ CPU มากขึ้น ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ Intel ต้องออก CPU แบบ Celeron มาโดยลดขนาดของ Cache ลงเพื่อให้เป็น CPU ราคาถูกแข่งขันกับ AMD แต่การลดขนาดของ Cache ก็ทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปด้วยนะหากจะแบ่ง CPU ตามราคา
ต่าง ๆ แล้ว ก็อาจจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับ
  • CPU สำหรับตลาดระดับล่าง จะเป็น CPU ที่มีราคาค่อนข้างถูก คือ AMD K6II, AMD K6III และ Intel Celeron CPU
    สำหรับตลาดระดับกลาง จะเป็น CPU ที่มีราคาสูงขึ้นมา แต่จะได้ประสิทธิภาพต่าง ๆ มากขึ้นเช่น Intel Pentium II,
    Intel Pentium III หรือ AMD Athlon
  • CPU สำหรับตลาดระดับสูง สำหรับงานที่ใช้ความเร็วค่อนข้างมากเช่นการทำ Server ต่าง ๆ ซึ่งขอไม่พูดถึง  
ในส่วนของ CPU ของค่าย Intel รุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นแบบ Coppermine เช่น 500E, 550E, 533EB จะเห็นว่ามีรหัสต่อท้ายความเร็วด้วย โดยที่ความหมายของรหัสต่าง ๆ คือ
  • E หมายถึง CPU แบบ Coppermine ใช้เทคโนโลยี 0.18 ไมครอน ใช้ FSB 100 MHz B หมายถึง CPU ที่ทำงานโดยใช้ FSB
    เป็น 133 MHz EB หมายถึง CPU แบบ Coppermine ใช้เทคโนโลยี 0.18 ไมครอน ใช้ FSB 133 MHz
  • ในส่วนของ CPU ที่ความเร็วสูงกว่า 667 MHz จะไม่มีรหัสต่อท้ายเพราะว่าถ้าความเร็วสูงกว่านี้ก็คือจะเป็น EB ทั้งหมดซึ่งใช้
    FSB เป็น 133MHz
สำหรับการเลือก CPU ที่เป็นแบบ FSB 133 MHz ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะทำให้ประสิทธิภาพ โดยรวมของระบบ ทำงานได้เร็วขึ้นกว่า
CPUที่ทำงานที่ FSB 100 MHz เพราะว่าการส่งถ่ายข้อมูลต่าง ๆ จะทำได้เร็วกว่า แต่ข้อเสียของ CPU แบบ FSB 133MHz คืออุปกรณ์ต่าง ๆ รอบข้างต้องมีคุณภาพค่อนข้างดีด้วย ไม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาได้มาก และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพราะความเร็วบัสที่สูงถึง 133 MHz อยู่แล้วจึงทำให้การทำ Over Clock ทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย หากใครคิดจะซื้อมาลองทำ Over Clock ก้ให้เลือกแบบ FSB 100 MHz
หลักการเลือกซื้อ เมนบอร์ดสำหรับคอมพิวเตอร์
จากช้อมูลของ CPU ก็จะเห็นว่า เมนบอร์ด สามารถเบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ ๆ ได้คือ Socket 7 , Slot 1, Socket 370, Slot A และ Socket A
ก่อนอื่น หากท่านคิดจะเลือก CPU ตัวใหม่หรือจะทำการ Upgrade CPU ตัวเก่า ก็ลองมองดูก่อนว่า เมนบอร์ดอันเก่าของคุณนั้นเป็นแบบไหน จากนั้นก็หาข้อมูลว่าเมนบอร์ดนั้น ๆ สามารถรองรับ CPU ได้ความเร็วสูงสุดเท่าไร ลองพิจารณาดูข้อมูลของเมนบอร์ดแบบต่าง ๆ และความเร็วสูงสุดของ CPU ที่มีออกวางจำหน่ายด้วย เพราะว่าบางครั้ง คุณอาจจะเพียงแค่เปลี่ยน CPU อย่างเดียวโดยยังใช้เมนบอร์ดเดิมก็ได้ ซึ่งจะเป็นการประหยัดเงิน ไปได้มาก หากเป็นการเลือกซื้อ เมนบอร์ด ใหม่เลย เช่น เมนบอร์ดแบบ Socket 7 ในปัจจุบันนี้ ก็จะมี CPU ที่มีความเร็วสูงสุดเพียงแค่ K6II-550 MHz เท่านั้น ซึ่งหากคิดว่าจะไม่ทำการ Upgrade เครื่องคอมพิวเตอร์ ก็สามารถเลือกตัวนี้ได้ (เพราะว่าราคาจะถูกกว่า) แต่สำหรับเมนบอร์ดแบบ Slot 1 หรือ Slot A ปัจจุบันนี้ ยังมี CPU รุ่นใหม่ ๆ ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งความเร็วสูงสุดอาจจะขึ้นไปถึง 1GHz ก็ได้ คงต้องรอดูกันต่อไป
ในส่วนของเมนบอร์ด ก็จะมีอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมใช้กันมากคือ Slotket โดยหน้าที่หลักคือเป็นตัว Adapter หรือตัวแปลงให้สามารถนำเอา CPU แบบ Socket 370 (เช่น Celeron หรือ Pentium Coppermine) มาใช้งานบนเมนบอร์ดแบบ Slot 1 ได้ ส่วนใหญ่แล้ว มักจะนิยมซื้อเมนบอร์ดแบบ Slot 1 มาใช้กันมากกว่า เพราะว่าสามารถใช้งานกับ CPU Celeron ซึ่งมีราคาถูกได้ เมื่อต้องการจะ Upgrade เครื่องก็เพียงแค่เปลี่ยน CPU ไปเป็น Pentium III หรือ Coppermine ได้โดยไม่ยากนัก
ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับการเลือก เมนบอร์ด คือข้อมูลรายละเอียด Specification ต่าง ๆ ขอสรุปแนวทางการเลือกคร่าว ๆ ดังนี้
  • ชนิดและความเร็วของ CPU ที่ใช้งาน เช่นแบบ Socket 7, Slot 1 หรือแบบอื่น ๆ สามารถรองรับ CPU ความเร็ว ต่ำสุด-สูงสุด ได้เท่าไร ชนิดของ Power Supply ว่าสามารถใช้กับ Power Supply แบบ AT หรือ ATX หรือใช้ได้ทั้งคู่ จำนวนของ ISA, PCI และ AGP Slot สำหรับเสียบการ์ดอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ISA จะเป็นอุปกรณ์แบบเก่า ๆ หากท่านยังใช้งานอุปกรณ์แบบ ISA อยู่ก็ต้องมองหาเมนบอร์ดที่มี ISA Slot ไว้ด้วย ส่วน PCI Slot จะเป็นการ์ดทั่ว ๆ ไปที่ใช้งานอยู่ และ
    AGP Slot ซึ่งใช้สำหรับการ์ดจอโดยเฉพาะ (AGP Slot จะมีเฉพาะในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ และมีเพียงแค่อันเดียว) ก็ดูที่ความเร็วว่าเป็น
    AGP แบบ 1X, 2X หรือ 4X ชนิดและจำนวนของช่องเสียบ RAM และขนาดของ RAM สูงสุดที่สามารถขยายได้ในอนาคต การปรับแต่งค่าต่าง ๆ เป็นแบบ Jumper หรือแบบใช้ Software ปรับใน BIOS หากเป็นการปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้ใน BIOS ก็จะทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเปิดฝาเคสชองเครื่องความเร็วของ FSB และตัวคูณ ที่สามารถปรับแต่งได้ อันนี้สำหรับผู้ที่ต้องการทำ Over Clock เพราะเมนบอร์ดบางรุ่นจะสามารถปรับ
    ความเร็วของ CPU ได้อย่างละเอียด บางรุ่นจะปรับได้แค่ค่าที่ใช้งานทั่ว ๆ ไป ซึ่งก็ต้องดูจุดประสงค์สำหรับการใช้งานด้วย หากไม่ได้คิดจะทำ
    Over Clock ก็คงจะไม่จำเป็นนัก การต่อใช้งาน HDD ถ้ารองรับ Interface ของ HDD แบบ UDMA-66 ก็จะช่วยให้การทำงานต่าง ๆ เร็วขึ้น อุปกรณ์ Port ต่าง ๆ ที่มีแถมมาให้ด้วยเช่น USB Port หรือ Infrared Port สำหรับการเลือกซื้อเมนบอร์ดเพื่อทำ Over Clock ก็ต้องเลือก เมนบอร์ด รุ่นที่มีความสามารถปรับอัตราส่วนความเร็วของแรม และความเร็วของระบบบัสต่าง ๆ ของ PCI หรือ AGP ที่ละเอียดขึ้นด้วย เช่นการใช้งานที่ FSB 133 MHz โดยที่ PCI และ AGP ยังทำงานในความเร็วมาตราฐานได้ด้วย Chip Set ที่ใช้งานกับเมนบอร์ดนั้น ๆ ก็ลองมองดูสักหน่อยว่าเป็นของอะไร และจะมีปัญหากับอุปกรณ์อื่น ๆ หรือไม่ เช่นที่เคยทราบมาว่า Chip Set ของ ALI จะมีปัญหากับการ์ดจอของ TNT เป็นต้น อันนี้ต้องศึกษาข้อมูลเรื่องการไม่เข้ากันของอุปกรณ์บางอย่างให้ดี
  • เลือกยี่ห้อของเมนบอร์ดที่มีการ Support หรือการ Update Driver ใหม่ ๆ ได้ง่ายจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้เราสามารถรับรู้ข่าว และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นรวมถึงการเปลี่ยนให้เมนบอร์ดสามารถใช้งานกับ CPU รุ่นใหม่ ๆ ที่อาจจะมีออกมาในอนาคตได้ด้วย
นอกจากนี้ สำหรับท่านที่มีงบน้อย ๆ เมนบอร์ดแบบ All in One เป็นเมนบอร์ดอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกได้ว่ามีราคาประหยัดมากเลย ลักษณะของเมนบอร์ด ชนิดนี้คือจะมีการนำเอา VGA Card, Sound Card, Modem, LAN Card หรืออุปกรณ์อื่น ๆ มารวมไว้บนเมนบอร์ดของคุณ ข้อดีของเมนบอร์ดขนิดนี้คือ ราคาถูก ได้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นครบ โดยไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มเติม แต่ข้อเสียของเมนบอร์ดแบบนี้คือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มารวมกันอยู่บนเมนบอร์ดนี้ จะทำให้ CPU ต้องแบ่งการทำงาน มาให้กับอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย ซึ่งอาจจะทำให้เครื่องโดยรวมช้ากว่า การใช้เมนบอร์ด แบบแยกส่วนมาก นอกจากนี้ เมนบอร์ดแบบนี้จะไม่ค่อยมี Slot ของการ์ดต่าง ๆ มาให้ขยายเพิ่มเติมมากนัก ส่วนใหญ่จะมีแค่เพียง Slot เดียว ซึ่งทำให้ยาก ต่อการขยับขยายในอนาคต หรือถ้าหากอุปกรณ์บางอย่างเกิดเสียขึ้นมา ก็อาจจจะไม่สามารถเปลี่ยนเฉพาะอุปกรณ์นั้น ๆ ได้ (ในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ อาจจะเปลี่ยน ได้โดยการ Disable อุปกรณ์ที่มีอยู่บนเมนบอร์ดนั้น แล้วซื้อการ์ดใหม่มาเสียบแทน แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาตามมาเช่นถ้ายกเลิก Sound Card ก็จะต้อง Disable Modem ที่อยู่บนเมนบอร์ดด้วย ต้องดูข้อมูลให้ดี สรุปว่า เมนบอร์ดแบบนี้เหมาะกับการใช้งานแบบธรรมดา พิมพ์เอกสาร เล่นอินเตอร์เน็ต ที่ไม่หนักมากนัก และไม่เน้นการเล่นเกมส์หรือการเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์บ่อย ๆ นัก เพราะว่าข้อดีของเมนบอร์ดแบบนี้คือ ราคาที่ถูกแสนถูก
หลักการเลือกซื้อ Case สำหรับคอมพิวเตอร์ 
Power Supply และ Case สำหรับเมนบอร์ดก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยทั่วไปแล้วคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ จะใช้ Case แบบ AT แต่ถ้าหาก เป็นรุ่นใหม่ ๆ แล้วจะเป็นแบบ ATX ข้อดีของ Case และ Power Supply แบบ ATX คือ การออกแบบให้มีการระบายความร้อน ได้ดีกว่า และการใช้ Power Supply แบบใหม่ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานระบบ Power Management ต่าง ๆ ได้เช่นการตั้งเวลา เปิด-ปิด เครื่อง เป็นต้น และนอกจาก นี้อย่าลืมว่า เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ เดี๋ยวนี้ก็จะใช้กับ Case และ Power Supply แบบ ATX เป็นส่วนใหญ่หมดแล้ว สำหรับท่านที่คิดจะทำการ Upgrade  เครื่องเดิมที่เป็น Case แบบ ATแต่หาเมนบอร์ดได้ยาก ก็ลองมองดูส่วนของ Case นี้ด้วยหากเป็นไปได้ก็อาจจะลงทุนซื้อ Case พร้อม Power Supply แบบ ATX ใหม่ไปเลย ราคาก็คงอยู่หลักพันต้น ๆ เท่านั้น ขนาดของ Power Supply รุ่นเก่า ๆ จะเป็น 200 วัตต์ หากเป็น Power Supply รุ่นใหม่ ๆ หน่อยก็จะเป็น 230-250 วัตต์ หรือสูงกว่านี้แล้ว ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกขนาดของ Power Supply ขนาดวัตต์สูง ๆ ไว้ก็ดี
การเลือกซื้อ ฮาร์ดดิสก์ สำหรับคอมพิวเตอร์
ในส่วนของ ฮาร์ดดิสก์ ก็คงจะไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก หากเป็นการ Upgrade เครื่องเก่า ก็ลองมองดูว่า ฮาร์ดดิสก์ ตัวเดิมของคุณยังมีขนาดเพียงพอสำหรับ
การใช้งานหรือไม่ สิ่งแรกที่มองว่าควรจะพิจารณา คือขนาดความจุ หากเป็นการซื้อฮาร์ดดิสก์ตัวใหม่ เลือกขนาดที่ใหญ่ ๆ ไว้ก่อนก็ดี (ถ้าคุณมีเงินมากพอ) เพราะว่าในอนาคตความต้องการใช้งานฮาร์ดดิสก์จะต้องการขนาดความจะที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆผมขอสรุปปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ในการเลือกฮาร์ดดิสก์ดังนี้
  • ขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ พิจารณาและคำนวณราคาต่อหน่วยความจำให้ดี
  • ความเร็วการส่งถ่ายข้อมูล จะมีแบบ UDMA-33 และ UDMA-66 ก็เลือกแบบ UDMA-66 เพราะการส่งถ่ายข้อมูลจะทำได้เร็วกว่า
    (โดยที่หลาย ๆ ท่านบอกว่า ไม่มากนัก) และหากใครคิดจะใช้ความสามารถแบบ UDMA-66 ให้เต็มที่ก็ต้องเลือก เมนบอร์ด ที่สามารถใช้งาน
    ฮาร์ดดิสก์แบบ UDMA-66 ด้วย
  • ขนาดของ Buffer ที่เห็นมีอยู่ในปัจจุบันก็จะเป็น 512K, 1M และ 2M ยิ่งขนาดมากก็ยิ่งดี (แต่จะแพงขึ้น)
  • ความเร็วรอบ จะเห็นมีอยู่ 2 แบบคือ 5,400 และ 7,200 รอบต่อนาที ถ้าความเร็วรอบสูง การเข้าถึงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ก็จะเร็วกว่า
    ราคาก็ย่อมแพงกว่าด้วย
  • ความทนทานและการรับประกัน อันนี้สำคัญมาก ขอแนะนำให้สอบถามจากผู้ที่เคยใช้งานมานาน ฮาร์ดดิสก์บางยี่ห้อจะค่อนข้างบอบบางมาก ใช้งานได้ไม่นานก็เริ่มออกอาการไม่ดีแล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นฮาร์ดดิสก์ที่ราคาถูก ๆ ไม่ขอแนะนำให้ใช้ถึงแม้ว่าจะมีการรับประกันที่นาน
    กว่าก็ตาม เพราะว่าข้อมูลต่าง ๆ ในฮาร์ดดิสก์มีค่ามากกว่าการเสียเวลานำฮาร์ดดิสก์ไปเปลี่ยนหรือซ่อม
  • เสียงก็เป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งแต่คงจะไม่สำคัญมากนักฮาร์ดดิสก์บางรุ่นเสียงจะค่อนข้างดังมากก็ต้องเลือกให้ดี

    การเลือกซื้อ RAM สำหรับคอมพิวเตอร์



    สำหรับ RAM ควรเลือกซื้อยี่ห้อที่น่าเชื่อถือหน่อยก็ดี ขนาดของ RAM ที่จะใช้ขอแนะนำว่า การใช้งานคอมพิวเตอร์แบบทั่ว ๆไปกับ
    Windows 98 ควรที่จะมี RAM ประมาณ 64M. ไม่ขอแนะนำให้ใช้ RAM น้อยกว่านี้ ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้งานได้ก็ตาม
    ถามใจคุณก่อนว่าต้องการซื้อคอมพิวเตอร์มาเพื่อทำอะไร เหตุผลหลัก ๆ ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในสมัยนี้แบ่งเป็นข้อดังนี้
                                                                                                                          1. สำหรับใช้งานทั่ว ๆ ไปเช่น พิมพ์งานเอกสาร ต่าง ๆ หรือสำหรับเล่นอินเตอร์เน็ต
          2. สำหรับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ
          3. สำหรับงานที่ต้องใช้ความเร็วของ CPU สูง เช่นการใช้ทำงานเกี่ยวกับ CAD หรือการ Encode ต่าง ๆ
          4. สำหรับใช้เป็นเครื่อง Server
การที่ใช้ RAM น้อย ๆ จะทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ต้องทำงานหนักขึ้นอีกมากซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ ฮาร์ดดิสก์เสียได้เร็วกว่าที่ควร หากท่านที่ต้องการเน้นการเล่นเกมส์ หรือการใช้งานหนัก ๆ ก็ควรจะมี RAM ไม่น้อยกว่า 128M. ครับ สำหรับการ Upgrade เครื่อง การเพิ่ม RAM จะเป็นทางเลือกที่ประหยัดที่สุด แต่คุณต้องดูด้วย
ว่า RAM ที่คุณมีอยู่เดิมนั้นเป็นแบบไหน EDO-RAM 72 pin หรือ SD-RAM 168 pin รวมทั้งเมนบอร์ดเดิมของคุณนั้น สามารถใส่ RAM แบบไหนได้บ้าง หลักการเพิ่มและเลือกซื้อ RAM ขอแนะนำข้อที่ควรดูเมื่อเลือกซื้อ RAM ดังนี้
  • ขนาดของ RAM ต่อ 1 ชิ้น อย่าลืมว่าบนเมนบอร์ดคุณ จะมีข้อจำกัดของช่องใส่ RAM เช่นใส่ได้ 3 หรือ 4 ช่อง หากเลือก RAM ที่มีขนาดน้อย ๆ
    ต่อชิ้น เช่นเลือก RAM แถวละ 32M. คุณก็ต้องซื้อ 2 แถวเพื่อให้ได้ 64M. ในอนาคตอยากจะเพิ่มอีก ก็จะเริ่มเป็นปัญหาว่าไม่มีช่องใส่ RAM พอได้
  • การใช้ RAM ที่มีขนาด และความเร็วที่ไม่เท่ากัน ก็อาจจะเป็นปัญหาให้กับระบบคอมพิวเตอร์ ของคุณได้เช่นการไม่เสถียร หรือแฮงค์บ่อย ๆ ได้ ดังนั้น
    ถ้าเป็นการซื้อ RAM ใหม่ให้เลือกขนาดที่ใหญ่ที่สุดที่คุณต้องการเลย เช่น 64M. หรือ 128M. ต่อ 1 แถวและใส่ให้น้อยแถวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  • ความเร็วของบัสแรม ก็ต้องเลือกให้เข้ากับ CPU และ เมนบอร์ดด้วย (ความเร็วส่วนใหญ่จะเป็น 66, 100 และ 133 MHz) เช่น Celeron ใช้ความถี่
    FSB 66 MHz อาจจะใช้งานกับ RAM แบบ PC-66 ก็ได้ แต่หากคุณใช้ CPU Pentium II หรือ Pentium III ซึ่งใช้ความเร็ว FSB 100MHz
    ก็ต้องใช้ RAM แบบ PC-100 ด้วยหรือ CPU รุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้ความเร็วบัส FSB 133 MHz ก็ต้องใช้แรมแบบ PC-133
  • ความเร็วของการส่งถ่ายข้อมูลของ RAM อันนี้คงจะดูกันยากหน่อย แต่โดยทั่วไปก็จะมีตัวเลขที่บอกความเร็วของการเข้าถึงข้อมูล เช่น 10 nsec,
    8nsec หรือ 6 nsec เป็นต้น ตัวเลขยิ่งน้อย ก็ทำให้การเข้าถึงข้อมูลทำได้เร็วกว่า
การเลือกซื้อ VGA Card สำหรับคอมพิวเตอร  
สำหรับ VGA Card ปัจจุบันนี้ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือการ์ดแสดงผลแบบ 2D และแบบ 3D ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเป็นการ์ดแสดงผล
รุ่นใหม่ ๆ ก็จะเป็นแบบ 3D กันหมดแล้วเพียงแต่อาจจะแตกต่างกันทางด้านความเร็ว จำนวนของ RAM บนการ์ดและคุณภาพ ตามราคาเท่านั้น ในที่นี้ขอแบ่งวิธีการเลือกการ์ดแสดงผล ดังนี้ ชนิดของ Interface การ์ดจอ คือเป็นแบบ PCI หรือเป็นแบบ AGP ต้องเลือกให้ตรงกับเมนบอร์ด
ด้วย (สำหรับเมนบอร์ด รุ่นเก่า ๆ จะมีแค่เพียงสล็อตแบบ PCI เท่านั้นหากเป็นเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ ก็จะมีสล็อต AGP มาให้ด้วย) การใช้งานคอมพิวเตอร์แบบธรรมดา เช่นการพิมพ์เอกสาร ดูหนังฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต ก็เลือกการ์ดแสดงผลที่มี RAM ประมาณซัก8M ก็เพียงพอแล้วเพราะราคาจะค่อนข้างถูกกว่ามาก หากเน้นที่การเล่นเกมส์ ก็ต้องเลือกการ์ดแสดงผลแบบที่เป็น 3Dโดยเฉพาะและ ควรจะมีจำนวนของRAMบนการ์ดค่อนข้างมากหน่อย เช่น 16M. หรือ 32M. หากเลือกการ์ดที่มี RAM มาก ๆ จะทำให้เล่นเกมส์ต่างๆ ได้ดีขึ้นโดยที่ราคาก็จะแพงมากขึ้นตามไปด้วย เลือกชนิดของ Chip Set ของการ์ดจอด้วย เนื่องจากการ์ดจอแต่ละแบบ จะมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปแล้ว ที่นิยมเลือกใช้งานกันก็จะมีVoodoo,TNT,Savage,SiSและอื่นๆ ซึ่งอาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้จากเวปบอร์ดต่างๆประกอบด้วย ความเร็วของการส่งถ่ายข้อมูล เช่นเป็น AGP 1X, 2X หรือ 4X ความสามารถในการ Over Clock ซึ่งรวมทั้งการ Over Clock CPU
และการ Over Clock การ์ดจอด้วย สำหรับผู้ที่คิดจะทำ Over Clock โดยเฉพาะ Option Video in, Video Out ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ซึ่งถ้าหากมี Optionพวกนี้มาด้วยราคา ก็จะสูงขึ้นอีกนิดสรุปในส่วนของการเลือกซื้อการ์ดแสดงผลนะว่าซื้อตามจุดประสงค์ที่ต้องการใช้งาน
และตามงบประมาณที่มีอยู่ แถมท้าย ให้อีกนิดนึงนะ หากใครคิดจะเล่นเกมส์แต่งบน้อย เลือก CPU ที่ราคาถูก ๆ หน่อยเช่น Celeron แต่ไปเพิ่มงบให้กับการ์ดจอมากขึ้น ก็อาจจะได้คุณภาพโดยรวมดีกว่าการเลือก CPU ราคาแพงแต่ใช้การ์ดจอราคาถูก  
การเลือกซื้อ Sound Card สำหรับคอมพิวเตอร 

 ในปัจจุบัน เครื่องมือ เทคโนโลยีต่างๆ ต่างก็มีการพัฒนาขึ้นมาก รวมไปถึงซาวนด์การ์ดที่คนรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนารูปลักษณ์ของซาวนด์การ์ด
นั้นออกมา ในลักษณะของการ์ดแบบ PCI ถ้าดูเรื่องขนาดแล้วมีขนาดที่เล็กกว่าการ์ดแบบ ISA มาก อีกทั้งในการส่งข้อมูลยังมีความเร็วที่สูงกว่าด้วย ดึงทรัพยากรภายในเครื่องน้อยลง อีกทั้งยังมีคุณภาพเสียงที่โดดเด่น มีการกระจายของเสียงที่ดี ซึ่งมีหลายๆอย่างที่ดีกว่าการ์ดแบบ ISA มาก จึงทำให้ในการผลิตการ์ดแบบ ISA นี้ล้มเลิกลง เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้การ์ดแบบนี้หยุดการผลิตลง เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ที่ทำการผลิตออกมา และตัดสล็อตแบบ ISA นี้ทิ้งไปโดยสิ้นเชิง และมีการเพิ่มสล็อตแบบ PCI ขึ้นมาแทน ซึ่งไม่ว่าเป็นอุปกรณ์อย่างเช่น Card Lan , โมเด็มแบบ Internal หรือแม้กระทั่งการ์ดอื่นๆ ก็มีการผลิตขึ้นมาให้สนับสนุนการใช้งานร่วมกับสล็อตแบบ PCI ทั้งนั้น จึงทำให้การ์ดแบบ ISA นั้นได้หายไปจากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน

                 นอกจากจะมีผลิตซาวนด์การ์ดแบบ PCI ออกมาใช้งานอย่างกว้างขวางในปัจจุบันแล้ว ซึ่งท่านคงจะเป็นหนึ่งในนั้นที่ใช้ซาวนด์การ์ดแบบ PCI นี้ แต่ก็มีอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่ใช้ซาวนด์การ์ดแบบ PCI เนื่องจากยังมีราคาที่สูงอยู่ ซึ่งคนพวกนี้จะหันไปใช้ซาวนด์แบบ Onboard แทน โดยซาวนด์แบบนี้ไม่ใช่เป็นซาวนด์แบบการ์ดที่เราเห็นกัน แต่เป็นเพียงชิปตัวหนึ่งซึ่งอยู่บนเมนบอร์ดของเราที่ทำหน้าที่สร้างเสียงออกมา แต่คุณภาพยังไม่สูงมากเท่ากับซาวนด์การ์ดแบบ PCI ชิปซาวนด์แบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงินในกระเป๋าไม่มากนัก สามารถที่จะใช้เพื่อเล่นเกม ดูหนัง เล็กๆน้อยๆได้ดีเลยทีเดียว แต่สำหรับคนที่มีเงินในกระปุกเหลือใช้มาก การที่ซื้อซาวนด์การ์ดแบบ PCI มาใช้งาน ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านจะได้สัมผัสพลังเสียงที่สุดยอดของซาวนด์การ์ดแบบนี้ ซึ่งเป็นเสียงที่ทุกคนอยากรับฟังแน่นอน

                 เรามาดูการพัฒนาการของซาวนด์การ์ดแบบ PCI กันบ้าง การผลิตและพัฒนาของซาวนด์การ์ดแบบนี้ จากแต่ก่อนได้มีการผลิตที่สามารถ รองรับการทำงานได้ถึง 2 แชนแนล โดยในขณะนั้นถือว่าเรียกเสียงฮือฮาได้อย่างมาก สามารถที่จะสร้างเสียงออกมาได้อย่างไพเราะ สามารถที่จะใช้ร่วมกับ ลำโพงจำนวน 2 ตัวได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างซาวนด์การ์ด Creative SB Vibra 128 ที่โด่งดังมากเมื่อก่อน ซึ่งมีราคาอยู่ประมาณ 1,000 บาท ถือว่ายังเป็นราคาที่แพงอยู่ในขณะนั้น จากนั้นมาก็ได้มีการพัฒนาประสิทธิการใช้ของซาวนด์การ์ดขึ้นเรื่อยๆ จากซาวนด์การ์ดที่เป็นแบบ 2.1 แชนแนล พัฒนาเป็นซาวนด์การ์ดที่สนับสนุนการทำงานแบบ 4.1 แชนแนล, 5.1 แชนแนล และแบบ 6.1 แชนแนล โดยได้พัฒนาควบคู่กับการพัฒนาของลำโพง แบบต่างๆ ที่สนับสนุนการใช้งานร่วมกับ ซาวนด์การ์ดนี้
                 จนมาถึงวันที่ทุกคนรอคอย ล่าสุดก็ได้มีการผลิตซาวนด์การ์ดแบบ 7.1 แชนแนลออกมา ถือว่าเป็นสุดยอดซาวนด์การ์ดอยู่ในขณะนี้ นับว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างความฮือฮามากที่สุดในขณะนี้ก็ได้ โดยเฉพาะบุคคลที่ชอบเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจ หรือแม้กระทั่งนักดนตรีต่างๆ ต่างก็คงรอคอยซาวนด์การ์ดแบบนี้อยู่เหมือนกัน ซึ่งสามารถให้เสียงที่สมบูรณ์แบบมากกว่าแบบต่างๆที่ได้กล่าวมา


การเลือกซื้อ Modem สำหรับคอมพิวเตอร์


ในส่วนของ Modem ที่เห็นรูปร่างจากภายนอก สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือแบบ Internal Modem และ
External Modem ซึ่งขอแยกข้อดีและข้อเสียของ Modem ชนิดต่าง ๆ ดังนี้
Internal Modem จะมีข้อดีคือ ราคาถูกกว่า ไม่เกะกะสายตา เพราะจะเป็นการ์ดเสียบติดไว้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ไปเลย
ไม่ต้องต่อสายหรือต่อ Power Supply ให้ยุ่งยาก และไม่เปลือง COM Port ที่มีอยู่จำกัด แต่ข้อเสียของ Internal Modem
คือ การเคลื่อนย้าย หรือถอดออกไปใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ จะทำได้ค่อนข้างยาก และมักจะมัปัญหาหลาย ๆ อย่าง
ตามมาด้วยเช่น สายอาจจะมีโอกาสหลุดได้บ่อย (ปัญหาหลักที่พบกันมาก) ต้องการ CPU ที่มีความเร็วค่อนข้างสูงจึงจะใช้งานได้แบบ
ไม่มีปัญหา External Modem จะมีราคาแพงกว่าแบบ Internal Modem และจะต้องมีสายต่อต่าง ๆ อยู่ภายนอกเครื่องให้เกะกะ
สายตาดี แต่ก็จะมีข้อดีคือ พบปัญหาของสายหลุดได้น้อยมาก และสามารถใช้งานกับ CPU ที่มีความเร็วไม่สูงมากนักได้สบาย ๆ การเคลื่อนย้ายก็ทำได้ง่าย นอกจากนี้ การพิจารณาเลือกซื้อ Modem ก็ยังมีสิ่งที่อาจจะต้องพิจารณาไว้ ดังนี้
ความเร็วสูงสุดของ Modem ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็น 56K. แต่ต้องดูว่ารองรับมาตราฐานอะไรบ้าง เช่น X2 หรือ V.90
เป็น Hardware Modem หรือ Software Modem เพราะหากเป็นแบบ Software Modem จะต้องมีการใช้งาน CPU ส่วนหนึ่งด้วยซึ่งอาจจะใช้งานได้ดีเฉพาะเครื่องที่มี CPU ความเร็วสูง ๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่แล้ว InternalModemจะเป็นแบบSoftware จึงไม่เหมาะกับเครื่องรุ่นเก่าๆเพราะเป็นต้นเหตุของปัญหาสายหลุดได้ง่ายด้วยสามารถรองรับระบบVoice ได้หรือไม่ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานModemในรูปแบบอื่นๆได้ด้วยเช่นการรับฝากข้อความระบบAudioTextเป็นต้น โดยขึ้นอยู่กับ Softwareต่าง ๆ เป็นแบบ Half Duplex หรือ Full Duplex ข้อนี้เท่าที่เคยได้ยินมา จะเกี่ยวข้องกันการใช้งานประเภท การโทรทางไกลต่างประเทศ ผ่านอินเตอร์เน็ต ต่างๆ ว่าจะต้องเป็น Modem แบบ Full Duplex ด้วยจึงจะใช้งานได้
การเลือกซื้อ CD-ROM Drive สำหรับคอมพิวเตอร์
ในส่วนของCD ROM Driveก็คงจะไม่มีอะไรให้เลือกมากนักครับเลือกยี่ห้อที่ทนๆหน่อยหรืออาจจะเลือกซื้อจากร้าน ที่มีการรับประกันดี ๆ
ความเร็วก็ประมาณซัก 40X ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งเป็น CD ROM Drive ที่มีความเร็วสูงมากเท่าไร
เสียงก็จะยิ่งดังมากขึ้นยกเว้น CD ROM Drive บางยี่ห้อหรือบางรุ่น จะสามารถปรับความเร็วให้ลดลงมาได้ด้วย (อาจจะโดยใช้
Software หรือการกดปุ่ม Control บนหน้าปัดก็ได้) รวมทั้งหากคุณใช้งานแผ่น CD-RW ก็คงต้องเลือกรุ่นที่สามารถอ่านแผ่น
CD-RW ได้ด้วย (เคยได้ยินมาว่าประมาณ24Xขึ้นไปจะสามารถอ่านแผ่นCDRWได้แล้วแต่หลายท่านก็บอกมา
ว่าบางยี่ห้อไม่สามารถอ่านได้ก่อนซื้อก็ถามคนขายดูให้แน่ใจ
การเลือกซื้อ จอภาพ สำหรับคอมพิวเตอร์
สำหรับจอภาพของคอมพิวเตอร์ก็คงเป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่ไม่มีให้เลือกมากนักส่วนใหญ่ก็จะเลือกกันที่ขนาดของจอ เช่น 14, 15
หรือ 17 นิ้ว เป็นจอแบบธรรมดา หรือ Flat Screen ราคาก็จะถูกแพง ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจอ สิ่งที่ผมขอแนะนำให้พิจารณาดูด้วยก็คือ การตั้งค่าความละเอียดของการแสดงผลสูงสุดได้เท่าไร และการตั้งค่า Refresh Rate ตั้งได้สูงสุดเท่าไร และอย่าลืมว่า จอภาพคือส่วนที่เราต้องมองอยู่เกือบตลอดเวลาที่เราใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์
การเลือกซื้อ Printer

ในส่วนของPrinterก็คงต้องเลือกกันตามความจำเป็นใช้งานซึ่งอาจจะแบ่งPrinterออกได้เป็น3แบบใหญ่ๆดังนี้แบบใช้ผ้าหมึก จะเป็นPrinterแบบเก่าๆภาพที่ได้จะไม่ค่อยสวยจะเหมาะกับการใช้งานพิมพ์เอกสารบนกระดาษต่อเนื่องต่างๆโดยที่ราคาต้นทุน การพิมพ์ต่อแผ่นจะถูกมากแบบLaserจะเน้นที่การพิมพ์ขาวดำ โดยจะได้งานที่สวยงามขึ้นมาแต่ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นก็จะ
สูงขึ้นมาอีกหน่อยเหมาะสำหรับงานพิมพ์เอาสารทั่วๆไปแบบInkJetส่วนใหญ่จะสามารถพิมพ์ภาพสีได้ด้วยปัจจุบันมีการพัฒนากัน ถึงขั้นพิมพ์ภาพออกมาได้ใกล้เคียงกับภาพถ่ายจริงแล้วแต่ข้อเสียก็คือต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นจะค่อนข้างแพงมากรวมถึงกระดาษ
ที่ใช้สำหรับพิมพ์อาจจะต้องใช้กระดาษแบบพิเศษเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามขึ้นด้วยโดยส่วนใหญ่ก็จะดูกันที่ชนิดของการต่อเข้ากับ
เครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นต่อกับ Parallel PortหรือUSBPortความเร็วของการพิมพ์ในแต่ละหน้ามีความละเอียดของการพิมพ์
เช่น 720 dpi (720 จุดต่อนิ้ว) ยิ่งมีความละเอียดสูง ก็จะทำให้พิมพ์ภาพได้คมชัดขึ้นครับ แต่ก็ต้องพิจารณาถึงเทคโนโลยีต่างๆ
ที่ใช้ในการพิมพ์ด้วย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ในเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่นด้วย เช่น Printer ของ Epson ที่เป็นแบบ Ink Jet รุ่นต่าง ๆ จะต้องมีการใช้งานอยู่สม่ำเสมอ หากไม่มีการใช้งานนาน ๆ อาจจะเกิดการอุดตันของหัวพิมพ์ก็ได้ ต้องหาข้อมูลเหล่านี้ดูให้ดีด้วย

ข้อพิจารณาการเลือกซื้อ
การเลือกซื้อเครื่องพิมพ์การใช้งานมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายสิ่งด้วยกัน เช่น
1. สิ่งแวดล้อมและความต้องการ หมายถึงสภาพลักษณะงานที่ใช้ เช่น ถ้าต้องการพิมพ์สำเนาก็ต้องเลือกเครื่องพิมพ์ แบบดอตแมทริกซ์อย่างเดียว ถ้าต้องการพิมพ์ขาวดำจำนวนมากและมีคุณภาพดี ความเร็วสูงก็ต้องเลือกเลเซอร์ หากต้องการใช้งานในสิ่งแวดล้อมในบ้าน ใช้งานน้อย พิมพ์สีได้ ก็คงต้องเลือกเครื่องพิมพ์ราคาถูก และใช้ได้กว้างขวาง เช่น เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก เพราะหากพิจารณาต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นแล้ว เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกมีต้นทุนสูงสุด เพราะราคาของตลับหมึกมีราคาสูงเมื่อเทียบกับแบบอื่น แต่เนื่องจากการใช้งานไม่มาก และบางครั้งต้องการพิมพ์ภาพสี หรือใช้เป็นเครื่องพิมพ์ของกล้องดิจิตอล
2. การเลือกจากเทคโนโลยี จากที่กล่าวแล้วว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์มีสามเทคโนโลยี ดังนั้นข้อพิจารณา ทางด้านเทคโนโลยีการพิมพ์จึงเป็นปัจจัยหนึ่ง แม้แต่เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกก็ยังมีแบบการพิมพ์ที่แตกต่างกัน เช่น แบบ Photo คือ พิมพ์เพื่อความละเอียดสูง สำหรับพิมพ์รูปภาพจากกล้องดิจิตอล หรือจะพิมพ์แบบสีปกติ (color) ที่พิมพ์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการพิมพ์มีลักษณะการพ่นหมึกที่ทำระดับชั้น หรือซ้อนเหลื่อมกันระหว่าง จุดสีีเพื่อความละเอียดยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องพิมพ์แบเลเซอร์ก็เช่นเดียวกับมีการพิมพ์แบบเป็นจำนวนจุดเล็ก ๆ และ ได้ความละเอียดเพียงไร ซึ่งหากให้พิมพ์ละเอียดมากก็จะมีปัญหากับความเร็ว เพราะจะทำให้ความเร็วของการพิมพ์ลดลง
3. ความเร็วในการพิมพ์ ในเรื่องความเร็วขึ้นกับปริมาณงานที่จะให้พิมพ์ หากงานในสำนักงานและเป็น เครื่องพิมพ์์แบบ ใช้ร่วมกัน ดังนั้นต้องให้เครื่องพิมพ์มีความเร็วในการพิมพ์สูงขึ้น
4. ความละเอียดของการพิมพ์ เครื่องพิมพ์ทุกแบบมีการพิมพ์เพื่อแสดงผลด้วยจุดเล็ก ๆ ดังนั้นจึงวัดความละเอียด เป็นจำนวนพิกเซล เช่น 600x600 พิกเซล แต่ในปัจจุบันเครื่องพิมพ์ที่มีความละเอียดสูงมาก สามารถพิมพ์ด้วย ความละเอียดถึง 2,880 จุดต่อนิ้ว แต่ถ้าพิมพ์ในโหมดความละเอียดสูงมาก ความเร็วในการพิมพ์จะลดลง
5. ผงหมึกพิมพ์และกระดาษ เครื่องพิมพ์แบบดอตแมทริกซ์ใช้ริบบอน ซึ่งเป็นหมึกพิมพ์ที่มีราคาถูก เมื่อเทียบกับแบบ พ่นหมึก หรือแบบเลเซอร์ สำหรับแบบพ่นหมึกส่วนใหญ่พิมพ์แบบสี ต้อใช้แม่สีสามสี ซึ่งปกติการใช้งานจะหมด ไม่พร้อมกัน ดังนั้นในกรณีที่ใช้ตลับหมึกที่มีทั้งสามสี ถ้าสีใดสีหนึ่งหมดก่อน ตลับนั้นก็จะใช้ไม่ได้ ดังนั้นบางบริษัทจึงแยก หมึกพิมพ์แต่ละสีออกจากกัน เพื่อให้เป็นอิสระในการเปลี่ยนสีเพื่อความประหยัด บางรุ่นแยกหมึกสีดำออกมา ต่างหาก สำหรับการพิมพ์สีดำอย่างเดียว ส่วนใหญ่หมึกพิมพ์แบบพ่นหมึกจะมีราคาแพงเมื่อเทียบกับจำนวนแผ่นที่ได้ ต้นทุน นี้จึงเป็นต้นทุนแอบแฝงที่สำคัญ นอกจากหมึกพิมพ์แล้วกระดาษก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้อง พิจารณา กระดาษที่ใช้พิมพ์กับ เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกมีหลายระดับ หลายราคา ยิ่งหากต้องการให้พิมพ์สีที่มีคุณภาพระดับ Photo ยิ่งต้องใช้กระดาษ เคลือบสารเคมี ซึ่งเป็นกระดาษพิเศษที่มีราคาต่อแผ่นสูงมาก
6. หน่วยความจำของเครื่อง เครื่องพิมพ์ทุกเครื่องมีบัฟเฟอร์ภายในที่เป็นหน่วยความจำสำหรับรองรับข้อมูลที่เครื่องพิมพ์ส่งมาพักไว้ หากมีหน่วย ความจำ มาก ก็จะทำให้รองรับข้อมูลได้มาก ขนาดของแรมมีขนาดเป็นเมกะไบต์
7. ระบบการป้อนกระดาษ ระบบการป้อนกระดาษเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะระบบการป้อนกระดาษจะมีปัญหา ในเรื่องการติดขัดของกระดาษและสร้างความยุ่งยากในการพิมพ์ ปกติระบบการป้อนกระดาษที่ป้อนผ่านทางด้านหน้า และมีกลไกการป้อนกระดาษที่ง่ายจะลดปัญหาลงได้ อีกทั้งบางรุ่นมีการพิมพ์กระดาษได้สองหน้าทำให้ประหยัดกระดาษ นอกจากนี้บางเครื่องมีถาดรับกระดาษได้หลายถาดที่ต้องการพิมพ์กระดาษที่ต่างกัน เช่น ในเครื่องพิมพ์เลเซอร์ บางเครื่องพิมพ์กระดาษขนาดเล็กและซองจดหมายได้
8. การเชื่อมต่อกับกล้องถ่ายรูป และการพิมพ์แบบ Photo เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกบางรุ่นได้นำเทคโนโลยีช่วยให้พิมพ์ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลได้ง่าย และดูสดใส อย่างไรก็ดี การใช้ภาพถ่ายคุณภาพย่อมต้องใช้กระดาษพิเศษควบคู่กัน
9. ระบบการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ในปัจจุบันที่นิยมใช้มีระบบการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้หลายรูปแบบแล้วแต่ความต้องการและการเลือกใช้ เช่น การเชื่อมต่อทางยูเอลบี ซึ่งเป็นพอร์ตที่ใช้งานง่ายเชื่อมทางพอร์ตขนาน และเชื่อมทางพอร์ตแลนแบบยูทีพี อย่างไรก็ดีแต่ละเครื่องจะมีให้เฉพาะเจาะจง บางรุ่นถ้าต้องการเพิ่มจะต้องมีราคาสูงขึ้น
10. ซอฟต์แวร์และไดร์ฟเวอร์ เมื่อซื้อเครื่องพิมพ์ต้องมีซอฟต์แวร์ที่เป็นไดร์ฟเวอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถพิมพ์งานออกทางเครื่องพิมพ์ได้ ซอฟต์แวร์ไดร์ฟเวอร์เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถ ดาวน์โหลดจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงต่อไปยังบริษัทผู้ผลิตได้ แต่บางครั้งอาจไม่สะดวกในการดาวน์โหลด ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบขณะซื้อด้วย นอกจากซอฟต์แวร์ไดร์ฟเวอร์แล้ว บางรุ่นยังให้ซอฟต์แวร์ที่ทำ
หน้าที่เป็นกราฟิกส์เอดิเตอร์ ใช้ในการจัดภาพสำหรับพิมพ์ ใช้สำหรับพิมพ์งานพิเศษบางอย่าง เช่น พิมพ์การ์ด บัตรอวยพร พิมพ์สติกเกอร์ เป็นต้น
11. ความสามารถพิเศษหรือข้อเด่นบางประการ ผู้ผลิตเครื่องพิมพ์มักสร้างข้อเด่นของแต่ละเครื่องให้ชัดเจน เช่น ระบบการพิมพ์ที่ซ้อนจุดทำให้ได้ความละเอียดสูงขึ้น การพิมพ์แบบหลายระดับชั้น ระบบการแยกตลับหมึก เพื่อความประหยัด การแยกระหว่างสีกับขาวดำ เพื่อให้งานพิมพ์เฉพาะสีและขาวดำแยกจากกันเพื่อความประหยัด ตลับหมึกของบางรุ่นมีหัวพิมพ์ติดด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่เปลี่ยนตลับจะเปลี่ยนหัวพิมพ์ด้วย
12. การบริการหลังการขาย เนื่องจากเครื่องพิมพ์มีอุปกรณ์ที่เป็นกลไกและการเคลื่อนที่อยู่มาก เมื่อเทียบกับ คอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหากับชิ้นส่วน หรือมีความจำเป็นต้องซ่อมบำรุง โดยเฉพาะเครื่องพิมพ์ที่ต้อง ใช้งานหนัก ใช้งานในสำนักงาน การพิจารณาเลือกซื้อจึงต้องดูจากการบริการหลังการขายเป็นสำคัญประการหนึ่งด้วย
การเลือกซื้อเครื่องพิมพ์จึงต้องศึกษาและอ่านข้อมูลเอกสารแนะนำเครื่อง บางรุ่นเมื่อซื้อแล้วนำมาติดตั้งจะมีคู่มือการติดตั้งการลงซอฟต์แวร์ต่าง ๆ การนำไดร์ฟเวอร์ติดตั้งในเครื่อง เรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องอ่านและทำความเข้าใจก่อน เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาที่อาจจะ เกิดขึ้นในภายหลังได้ เทคโนโลยีการพิมพ์มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เครื่องพิมพ์เป็นปัจจัย สำคัญ ของการ ใช้คอมพิวเตอร์ ข้อพิจารณาและรายละเอียดที่นำเสนอมานี้จะเป็นแนวทางทำความเข้าใจเครื่องพิมพ์ได้ดีขึ้น
การเลือกซื้อ Scanner

ในส่วนของScannerก็ต้องดูเรื่องความละเอียดเป็นหลักว่าสามารถสแกนได้ความละเอียดสูงสุดเท่าไรความเร็วของการสแกน ชนิดของหลอดไฟหรือหัวสแกนที่ใช้งานความสามารถทำสแกนฟิมล์ถ่ายภาพได้หรือไม่รวมถึงการเชื่อมต่อโดยเป็นแบบParallel Port หรือUSBPortด้วย
การเลือกซื้อ อุปกรณ์ประกอบอื่นๆ
1. Keyboardเลือกโดยทดลองกดปุ่มต่างๆดูว่าเหมาะมือของเราหรือไม่ปุ่มสำหรับKeyพิเศษต่างๆ
2. Mouse เลือกโดยทดลองใช้งานให้เหมาะมือ ปุ่มก็ไม่ควรจะแข็งมากจนเกินไปนัก
3. JoyStickเลือกตามราคาหรือทดลองใช้งานจริงดูจำนวนปุ่มและFunctionต่างๆว่ามากน้อยเพียงใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น